วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วิหารทรงม้า ๔ : ภาพพระทรงม้า ปางออกมหาภิเนษกรม์

ภาพในวิหารทรงม้านี้มีเรื่องราวเป็นมาอย่างไร ?

????????????????



นี้คือหนึ่งในภาพปูนปั้นนูนต่ำ (Bas Relief) ชิ้นสำคัญในระดับที่เรียกกันว่าเป็นมรดกวัฒนธรรมชั้นเยี่ยมของชาติ หรือ National Treasure & Master piece ที่ประกอบด้วยทั้งความงามประณีต ความมีขนาดใหญ่ และ สมบูรณ์ด้วยเนื้อหา ไม่มีชิ้นอื่นใดในชาติเทียบเท่า
เรียกกันว่าภาพปูนปั้นภาพพระมหาภิเนษกรม์

แสดงครั้งพระพุทธองค์ทรงเสด็จออกมหาภิเนษกรม์ คือ ออกทรงผนวชเป็นที่มาของชื่อพระวิหารมหาภิเนษกรม์ หรือ พระทรงม้าหรือที่กร่อนลงมาเหลือเพียงวิหารพระม้า


เป็นภาพปูนปั้นนูนต่ำติดไว้ที่ผนังบันไดทางขึ้นลานประทักษิณทั้ง ๒ ด้าน
โดยภายในสุดที่ฐานองค์พระบรมธาตุ มีซุ้มพระพุทธรูปอย่างที่ฐานทักษิณด้านนอก


ภาพปูนปั้นนูนต่ำนี้บอกเรื่องราวครั้งเจ้าชายสิทธัตถะทรงออกผนวชตามลำดับ
จากด้านในออกมาที่แสดงเป็นภาพเหล่าเทวดานางฟ้ามาเฝ้าอยู่
เทวดาองค์บนอาจจะเป็นพระพรหม


ถัดมาแสดงพระวิมานที่พระนางยโสธราพิมพากำลังบรรทมหลับ
มีพระราหุลกุมารอยู่ในอ้อมพระอุระ เห็นพระถรรเต็มตึง

ต่ำลงมาเป็นเหล่าสนมนางในที่หลับไหลอยู่ท่ามกลางช่างประโคมและรำฟ้อน














ภาพบุรุษทรงพระภูษา ชฎา และพระขรรค์ในหัตถ์ขวา
คือเจ้าชายสิทธัตถะกำลังผันพระพักตร์กึ่งทางไปยังพระชายาและกุมาร

ยกพระขรรค์เสมือนหมายว่าจะทรงตัดเสียจากโลกียวิสัยที่ทรงมีอยู่อย่างพร้อมสรรพ ทั้งปราสาทราชวังนางในและทรัพย์สมบัติแม้จะเต็มไปด้วยความอาลัยขณะที่พระบาทนั้นหันออกนอกเพื่อพระดำเนินออกไปแสวงหาความหมายแห่งชีวิตที่มากกว่าการเสาะแสวงหาและเสพสุขอยู่เยี่ยงนี้ ดังที่ทรงมีนิมิตว่าด้วยความแก่  ความเจ็บ ความตาย และ การออกบำเพ็ญเพียรภาวนามาก่อน พระบาทของพระองค์มีดอกบัวบานรับ แสดงถึงเส้นทางนี้เป็นมงคลควรดำเนิน






ภาพใหญ่แสดงขณะเจ้าชายสิทธัตถะทรงม้ากัณฐกะลอยเด่น
มีเหล่าเทวดาจำนวนมากมาร่วมแห่แหนพาเหาะมุ่งไปข้างหน้า
ที่พอจะระบุได้มีพระพรหมกำลังถวายฉัตร ๓ ชั้นอยู่ด้านหลัง
ในขณะที่นายฉันนะนั้นกำลังเกาะพู่พวงหางของม้ากัณฑกะไว้
ขอให้ดูเครื่องประดับทรงของม้าต้นที่งดงามอย่างยิ่ง



ณ สุดขอบกรอบของภาพนี้
ท่านทำเป็นภาพบุคคลถือกระบองยืนโบกมือห้ามอยู่





ด้านตะวันตกทำให้เห็นชัดว่าคือยักษ์มารร้าย

หมายถึงพญามารที่มาคอยสกัดห้ามการเสด็จออกผนวช



แถมยืนอยู่บนพญาราหูน้อย หนึ่งในหมู่แห่งพญามารเช่นกัน








โดยรวมแล้วภาพนี้นอกจากจะเป็นภาพพุทธประวัติตอนสำคัญแล้วยังสามารถอุปมาอุปไมยให้คติแก่ชีวิตอย่างสำคัญหลายชั้น ดังนี้

๑)ระลึกถึงประวัติและคุณขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงรู้แล้วมุ่งมั่นศึกษาปฏิบัติจริงจังจนตรัสรู้แล้วเมตตาสั่งสอนสืบมาจนถึงพวกเรา


๒)ระลึกถึงแบบอย่างการสละความสุขของชีวิตทางโลกออกผนวชเพื่อเสาะแสวงหาทางธรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า มหาภิเนษกรม์ เพราะหากไม่มีครั้งนี้ก็ไม่มีพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนา

๓) ระลึกถึงตนเอง แม้ไม่ถึงกับการสละทางโลกออกบวชอย่างพระพุทธองค์  ก็ขอให้คิดถึงกุศลกรรมอีกมากมายที่พึงกระทำซึ่งจะได้รับการสรรเสริญจากเหล่าเทวดาคนดี  โดยมักจะมีฝ่ายอกุศลเสมือนมารร้ายมาคอยสกัดยับยั้งชักชวนให้เสียอยู่เสมอ ๆ  ซึ่งต้องอาศัยการประกอบไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจจริงไม่ให้แพ้เมื่อครั้งเจ้าชายสิทธัตถะตัดพระทัยออกมาจากสุขและสมบัติอันเย้ายวนอย่างยิ่ง



ตามตำนาน กล่าวว่าภาพปูนปั้นนี้
๒ เศรษฐีชาวมอญและลังกาชื่อพลิติพลิมุ่ย ผู้มาอยู่ร่วมซ่อมสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ให้ทำขึ้นจากอัฐิอังคารของลูกของทั้ง ๒ คนที่ทะเลาะแล้วฆ่ากันตายขณะที่พ่อมาทำกิจกุศล

แต่ตามประวัติศาสตร์ศิลปกล่าวกันว่าเป็นงานศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลายเชื่อว่าซ่อมสร้างครั้งใหญ่สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ผู้บูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระบรมธาตุเจดีย์ครั้งใหญ่หลังจากร้างอยู่นาน  พร้อมกับการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในกรุงศรีอยุธยา และส่งสมณทูตไปสถาปนาสยามวงศ์ในกรุงลังกาหลังจากนั้นมีการบูรณะอีกหลายครั้งยังอยู่อย่างสมบูรณ์ถึงทุกวันนี้ ต่างจากที่อื่น ๆ ซึ่งปรักหักพังร้างราลงเหลือแต่เพียงเศษเสี้ยวเป็นส่วน ๆ แทบทั้งนั้น.

ที่พระธาตุทุกวันนี้นั้น มี ๒ ภาพใหญ่เท่า ๆ กัน ด้านตะวันออกของบันไดกล่าวกันว่าเป็นของเก่าก่อน ด้านตะวันตกที่มีฝีมือด้อยกว่า กล่าวกันว่าเป็นของทำตามขึ้นภายหลัง มีรายละเอียดแตกต่างกันไม่มากนัก.

บัญชา พงษ์พานิช
เพลินสถาน สวนสร้างสรรค์ นาคร-บวรรัตน์ / สุธีรัตนามูลนิธิ
๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น